หน้าเว็บ

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิถีรอยสักบนโลกเสรีที่เปลี่ยนไป



‘การสัก’คือศิลปะแขนงหนึ่ง มิใช่ตราบาปของชีวิต สังคมไทยกับรอยสักจึงเปรียบเสมือนทางเดินคู่ขนานกันมาตลอด หากมองอีกนัยหนึ่งก็คือกลุ่มชนชั้นล่างของสังคม ประเภทผู้ใช้แรงงานที่มีระดับการศึกษาไม่สูงมากนักและสักตามเรือนร่างโดยที่ไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบจนกลายเป็นความเลอะเทอะที่ฝังอยู่ตามผิวกาย เพราะเหตุนี้งานสักจึงถูกจำกัดให้อยู่ในความเข้าใจแคบๆว่าเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้มีการศึกษา
นายไชโย ใบบัวเผื่อน เจ้าของร้านสัก Full all line tattoo มองว่า ทัศนคติของคนยุคเก่าก็ยังคงติดลบกับภาพคนมีรอยสัก แต่สำหรับคนยุคใหม่สังคมเดี๋ยวนี้เปิดกว้างมากขึ้น แม้แต่ในแวดวงสังคมการทำงาน ลูกค้าที่มาสักส่วนมากก็มีการงานดีและประกอบอาชีพที่มีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตา ลูกค้าบางคนเป็นแอร์โฮสเตสแต่ชื่นชอบศิลปะบนร่างกายประเภทนี้ งานสักจึงไม่ได้เฉพาะเจาะจงไว้สำหรับกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งอีกต่อไป
"ผู้ใหญ่มักยึดติดกับความคิด ค่านิยมเก่าๆ ชอบคิดว่าพวกมีรอยสักเป็นพวกขี้คุก แต่ในกลุ่มวัยรุ่นก็จะมองว่าเป็นแฟชั่น ความสวยงาม และมองลึกไปถึงความหมายที่แฝงอยู่ในลวดลายต่างๆ คิดว่าในอนาคตทัศนคติเกี่ยวกับรอยสักน่าจะดีขึ้น มุมมองความคิดน่าจะเปิดกว้างมากขึ้น อย่างในต่างประเทศก็ไม่ได้มีความคิดที่ว่าสักเยอะแล้วจะต้องเป็นคนไม่ดี เพราะมันไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า"
นายวรรณรัตน์ บานเย็น พนักงานบริษัทเอกชน ผู้นิยมศิลปะการสักลาย แสดงทัศนะว่า ตนเองได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปินและดาราต่างประเทศ และไม่ได้มองว่าการสักเป็นตราบาปของผู้กระทำความผิด ในโลกปัจจุบันสังคมเปิดรับศิลปะประเภทนี้ จึงคิดว่าทัศนคติเกี่ยวกับรอยสักนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลและความคิดมากกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับลวดลายที่สักแต่อย่างใด
“ด้วยความที่เป็นคนชื่นชอบงานสักแต่ถึงสุดท้ายแล้วมันก็มีข้อจำกัดของมัน ขึ้นอยู่กับหน้าที่การทำงานและความเหมาะสม จริงๆแล้วการสักมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย มันอยู่ที่ความคิดมากกว่า อย่างตอนไปสมัครงานก็บอกเขาไปเลยว่ามีรอยสักตรงไหนบ้าง ทางบริษัทเขาก็ตกลง ให้เราไปสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ พอสอบผ่านเขารับเราเข้าทำงาน สำหรับผมรอยสักเลยไม่ใช่อุปสรรคในการทำงาน อย่างตอนนี้ก็มีงานทำแต่ก็ยังมาสักเพิ่ม เพราะชอบและมองว่ามันเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่สวยงาม”
สังคมปัจจุบันบนโลกที่พัฒนาไปไกลเกินกว่าทัศนคติเรื่องรอยสัก จึงโดนสลับขั้วและก้าวเข้าสู่ความเป็นสากลในโลกเสรีมากขึ้น อีกทั้งน้ำหมึกบนเรือนร่างถูกจัดว่าคือศิลปะแขนงหนึ่ง ทำให้สังคมคนนิยมสักลายเพิ่มมากขึ้นแม้กระทั่งระดับของคนมีการศึกษาหรือในแวดวงไฮโซมองว่ากลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เราสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป และไม่ถูกจำกัดแค่เพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://www.jr-rsu.net/article/552<<<