มีหลายอาชีพ นอกจากการรับราชการ ก็ยังไม่ยอมรับการสักลาย ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ก่อนที่จะไปดูว่าทำไมการสักลายไม่เป็นที่ยอมรับ เราต้องมาดูประวัติและวัตถุประสงค์ของการสักลายก่อนครับ ประวัติการสักลายที่ยาวนานที่สุด มีหลักฐานเป็นร่างของมนุษย์ ที่ขุดพบในน้ำแข็งระหว่างชายแดนออสเตรียกับอิตาลี ตามร่างกายมีลายสักอยู่ถึง57จุด มนุษย์ผู้นี้มีอายุกว่า5300 ปี เป็นการค้นพบที่นักโบราณคดีที่เคยคาดการณ์ว่า การสักน่าจะมีมากว่า2-3000ปี ต้องเปลี่ยนไปตามหลักฐานที่ค้นพบใหม่ จากตำแหน่งที่สักทั้ง57จุด มีความใกล้เคียงกับการฝังเข็มของจีน การสักมีแพร่หลายไปทั่วภูมิภาคบนโลกใบนี้ ด้วยหลักการเดียวกัน คือการเปิดผิวเพื่อใส่สีลงไปย้อมผิว เพื่อให้เกิดลายและสีสัน ส่วนวิธีการก็ต่างกันไป อุปกรณ์ที่ใช้ก็ต่างกันไป บ้างก็ใช้กระดูกมาฝนให้คม บ้างก็ใช้เหล็กปลายแหลม บ้างก็ใช้การไม้เคาะไปที่เข็ม บ้างก็ใช้วิธีแทงลงไปใต้ผิว
หลังจากการค้นพบมนุษย์น้ำแข็งแล้ว นักโบราณคดีท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า การสักลายน่าจะเป็นงานศิลปแรก ที่มนุษย์ได้สร้างสรรขึ้น
วัตถุประสงค์ของการสักลาย พอจะสรุปได้ดังนี้
1.สักเพราะความเชื่อทางไสยศาสตร์
2.สักเพราะเป็นประเพณี เช่น การสักขาลายของชายชาวไทยใหญ่ การสักของนักรบชาวเมาลี และ ......
3.สักเพื่อการรักษาโรค น่าเสียดายที่การสักแบบนี้ได้สูญหายไปจากประเทศไทยแล้ว เช่นการสักรักษาโรคปะดง
4.สักเพื่อบอกเป็นสัญลักษณ์ ฐานะทางสังคม เช่นการสักเลกของไทย หรือการสักของสมาชิกแก็งค์ในต่างประเทศ เช่นรัสเซีย เม็กซิกัน
5.สักเพื่อความสวยงาม
ร่ายมานานมาเข้าประเด็นดีกว่า การรับราชการของไทย ยังมองการสักว่าเป็นเรื่องของนักเลงหัวไม้ เป็นเรื่องของนักโทษที่มีความผิด ติดคุกติดตะรางมาก่อน สังคมไทยแต่ก่อนยังเป็นแบบอนุลักษณ์นิยม ไม่ยอมรับการสักลาย( แต่ปัจจุบันค่อนข้างเปิดรับมากขึ้น ) ในต่างประเทศอย่างอเมริกา การสักลายถือว่าเป็นสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ตำรวจ หมอ พยาบาล ก็สามารถมีลายสักได้ โดยไม่ถูกกีดกัน ไม่ถูกปฎิเสธจากการเข้าทำงาน นี่คือประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบมีเงื่อนไขแบบของไทย
การเปลี่ยนแปลงแนวความคิดการสักลายในไทย เริ่มเป็นไปในทางที่ดี สังคมเริ่มเปิดรับการสักลายมากขึ้น จากการทำงานด้านการสักลายในประเทศไทย กว่า15ปี จากช่วง5ปีแรกจะเป็นกลุ่มวัยหนุ่มสาวเท่านั้นที่มาสัก แต่ช่วงหลัง5ปีให้หลัง กลับกลายเป็นคนอายุกลางคน ถึงผู้สูงวัยที่มาทำการสักลาย ผู้ที่มาสักลายมีหลากหลายอาชีพมากขึ้น นอกจากอาชีพดารานักร้องแล้ว ผมยังมีลูกค้าที่เป็นแพทย์อยู่หลายท่าน เป็นอัยการ เป้นผู้บริหารในบริษัทใหญ่ๆก็มาก ผมมองว่าการสักจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในสังคมไทย แต่สำหรับข้าราชการนั้นผมยังมองว่า ยังอีกยาวไกลที่จะมีผู้มีอำนาจไปเปลี่ยนกฎใหม่ ให้การรับสมัครเข้ารับราชการมีลายสักได้โดยไม่ถูกกีดกัน
ท้ายสุดนี้แถมให้ เคยมีรัฐมนตรีคนหนึ่ง อยู่กระทรวงที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ พยายามร่างกฎหมาย ให้การสักลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยพ่วงเข้ากับกฎหมายเกี่ยวกับสื่อลามก ไม่รู้ว่ามุมมองมันมองอย่างไร โชคดีที่รัฐบาลชุดนั้นมีอันเป็นไป มิฉนั้นผมคงไม่ได้เข้ามาโพสตอบกระทู้นี้แน่ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=510920&start=15<<<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น