หน้าเว็บ

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิถีรอยสักบนโลกเสรีที่เปลี่ยนไป



‘การสัก’คือศิลปะแขนงหนึ่ง มิใช่ตราบาปของชีวิต สังคมไทยกับรอยสักจึงเปรียบเสมือนทางเดินคู่ขนานกันมาตลอด หากมองอีกนัยหนึ่งก็คือกลุ่มชนชั้นล่างของสังคม ประเภทผู้ใช้แรงงานที่มีระดับการศึกษาไม่สูงมากนักและสักตามเรือนร่างโดยที่ไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบจนกลายเป็นความเลอะเทอะที่ฝังอยู่ตามผิวกาย เพราะเหตุนี้งานสักจึงถูกจำกัดให้อยู่ในความเข้าใจแคบๆว่าเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้มีการศึกษา
นายไชโย ใบบัวเผื่อน เจ้าของร้านสัก Full all line tattoo มองว่า ทัศนคติของคนยุคเก่าก็ยังคงติดลบกับภาพคนมีรอยสัก แต่สำหรับคนยุคใหม่สังคมเดี๋ยวนี้เปิดกว้างมากขึ้น แม้แต่ในแวดวงสังคมการทำงาน ลูกค้าที่มาสักส่วนมากก็มีการงานดีและประกอบอาชีพที่มีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตา ลูกค้าบางคนเป็นแอร์โฮสเตสแต่ชื่นชอบศิลปะบนร่างกายประเภทนี้ งานสักจึงไม่ได้เฉพาะเจาะจงไว้สำหรับกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งอีกต่อไป
"ผู้ใหญ่มักยึดติดกับความคิด ค่านิยมเก่าๆ ชอบคิดว่าพวกมีรอยสักเป็นพวกขี้คุก แต่ในกลุ่มวัยรุ่นก็จะมองว่าเป็นแฟชั่น ความสวยงาม และมองลึกไปถึงความหมายที่แฝงอยู่ในลวดลายต่างๆ คิดว่าในอนาคตทัศนคติเกี่ยวกับรอยสักน่าจะดีขึ้น มุมมองความคิดน่าจะเปิดกว้างมากขึ้น อย่างในต่างประเทศก็ไม่ได้มีความคิดที่ว่าสักเยอะแล้วจะต้องเป็นคนไม่ดี เพราะมันไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า"
นายวรรณรัตน์ บานเย็น พนักงานบริษัทเอกชน ผู้นิยมศิลปะการสักลาย แสดงทัศนะว่า ตนเองได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปินและดาราต่างประเทศ และไม่ได้มองว่าการสักเป็นตราบาปของผู้กระทำความผิด ในโลกปัจจุบันสังคมเปิดรับศิลปะประเภทนี้ จึงคิดว่าทัศนคติเกี่ยวกับรอยสักนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลและความคิดมากกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับลวดลายที่สักแต่อย่างใด
“ด้วยความที่เป็นคนชื่นชอบงานสักแต่ถึงสุดท้ายแล้วมันก็มีข้อจำกัดของมัน ขึ้นอยู่กับหน้าที่การทำงานและความเหมาะสม จริงๆแล้วการสักมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย มันอยู่ที่ความคิดมากกว่า อย่างตอนไปสมัครงานก็บอกเขาไปเลยว่ามีรอยสักตรงไหนบ้าง ทางบริษัทเขาก็ตกลง ให้เราไปสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ พอสอบผ่านเขารับเราเข้าทำงาน สำหรับผมรอยสักเลยไม่ใช่อุปสรรคในการทำงาน อย่างตอนนี้ก็มีงานทำแต่ก็ยังมาสักเพิ่ม เพราะชอบและมองว่ามันเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่สวยงาม”
สังคมปัจจุบันบนโลกที่พัฒนาไปไกลเกินกว่าทัศนคติเรื่องรอยสัก จึงโดนสลับขั้วและก้าวเข้าสู่ความเป็นสากลในโลกเสรีมากขึ้น อีกทั้งน้ำหมึกบนเรือนร่างถูกจัดว่าคือศิลปะแขนงหนึ่ง ทำให้สังคมคนนิยมสักลายเพิ่มมากขึ้นแม้กระทั่งระดับของคนมีการศึกษาหรือในแวดวงไฮโซมองว่ากลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เราสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป และไม่ถูกจำกัดแค่เพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://www.jr-rsu.net/article/552<<<

ทำไม สัก ถึงไม่เป็นที่ยอมรับ งานราชการ

มีหลายอาชีพ นอกจากการรับราชการ ก็ยังไม่ยอมรับการสักลาย ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ก่อนที่จะไปดูว่าทำไมการสักลายไม่เป็นที่ยอมรับ เราต้องมาดูประวัติและวัตถุประสงค์ของการสักลายก่อนครับ ประวัติการสักลายที่ยาวนานที่สุด มีหลักฐานเป็นร่างของมนุษย์ ที่ขุดพบในน้ำแข็งระหว่างชายแดนออสเตรียกับอิตาลี ตามร่างกายมีลายสักอยู่ถึง57จุด มนุษย์ผู้นี้มีอายุกว่า5300 ปี เป็นการค้นพบที่นักโบราณคดีที่เคยคาดการณ์ว่า การสักน่าจะมีมากว่า2-3000ปี ต้องเปลี่ยนไปตามหลักฐานที่ค้นพบใหม่ จากตำแหน่งที่สักทั้ง57จุด มีความใกล้เคียงกับการฝังเข็มของจีน การสักมีแพร่หลายไปทั่วภูมิภาคบนโลกใบนี้ ด้วยหลักการเดียวกัน คือการเปิดผิวเพื่อใส่สีลงไปย้อมผิว เพื่อให้เกิดลายและสีสัน ส่วนวิธีการก็ต่างกันไป อุปกรณ์ที่ใช้ก็ต่างกันไป บ้างก็ใช้กระดูกมาฝนให้คม บ้างก็ใช้เหล็กปลายแหลม บ้างก็ใช้การไม้เคาะไปที่เข็ม บ้างก็ใช้วิธีแทงลงไปใต้ผิว 

หลังจากการค้นพบมนุษย์น้ำแข็งแล้ว นักโบราณคดีท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า การสักลายน่าจะเป็นงานศิลปแรก ที่มนุษย์ได้สร้างสรรขึ้น 

วัตถุประสงค์ของการสักลาย พอจะสรุปได้ดังนี้
1.สักเพราะความเชื่อทางไสยศาสตร์
2.สักเพราะเป็นประเพณี เช่น การสักขาลายของชายชาวไทยใหญ่ การสักของนักรบชาวเมาลี และ ......
3.สักเพื่อการรักษาโรค น่าเสียดายที่การสักแบบนี้ได้สูญหายไปจากประเทศไทยแล้ว เช่นการสักรักษาโรคปะดง
4.สักเพื่อบอกเป็นสัญลักษณ์ ฐานะทางสังคม เช่นการสักเลกของไทย หรือการสักของสมาชิกแก็งค์ในต่างประเทศ เช่นรัสเซีย เม็กซิกัน
5.สักเพื่อความสวยงาม 

ร่ายมานานมาเข้าประเด็นดีกว่า การรับราชการของไทย ยังมองการสักว่าเป็นเรื่องของนักเลงหัวไม้ เป็นเรื่องของนักโทษที่มีความผิด ติดคุกติดตะรางมาก่อน สังคมไทยแต่ก่อนยังเป็นแบบอนุลักษณ์นิยม ไม่ยอมรับการสักลาย( แต่ปัจจุบันค่อนข้างเปิดรับมากขึ้น ) ในต่างประเทศอย่างอเมริกา การสักลายถือว่าเป็นสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ตำรวจ หมอ พยาบาล ก็สามารถมีลายสักได้ โดยไม่ถูกกีดกัน ไม่ถูกปฎิเสธจากการเข้าทำงาน นี่คือประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบมีเงื่อนไขแบบของไทย 

การเปลี่ยนแปลงแนวความคิดการสักลายในไทย เริ่มเป็นไปในทางที่ดี สังคมเริ่มเปิดรับการสักลายมากขึ้น จากการทำงานด้านการสักลายในประเทศไทย กว่า15ปี จากช่วง5ปีแรกจะเป็นกลุ่มวัยหนุ่มสาวเท่านั้นที่มาสัก แต่ช่วงหลัง5ปีให้หลัง กลับกลายเป็นคนอายุกลางคน ถึงผู้สูงวัยที่มาทำการสักลาย ผู้ที่มาสักลายมีหลากหลายอาชีพมากขึ้น นอกจากอาชีพดารานักร้องแล้ว ผมยังมีลูกค้าที่เป็นแพทย์อยู่หลายท่าน เป็นอัยการ เป้นผู้บริหารในบริษัทใหญ่ๆก็มาก ผมมองว่าการสักจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในสังคมไทย แต่สำหรับข้าราชการนั้นผมยังมองว่า ยังอีกยาวไกลที่จะมีผู้มีอำนาจไปเปลี่ยนกฎใหม่ ให้การรับสมัครเข้ารับราชการมีลายสักได้โดยไม่ถูกกีดกัน

ท้ายสุดนี้แถมให้ เคยมีรัฐมนตรีคนหนึ่ง อยู่กระทรวงที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ พยายามร่างกฎหมาย ให้การสักลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยพ่วงเข้ากับกฎหมายเกี่ยวกับสื่อลามก ไม่รู้ว่ามุมมองมันมองอย่างไร โชคดีที่รัฐบาลชุดนั้นมีอันเป็นไป มิฉนั้นผมคงไม่ได้เข้ามาโพสตอบกระทู้นี้แน่ๆ


ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=510920&start=15<<<

ความหมายทางฮวงจุ้ยของรอยสัก

การสักลายได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในหลายประเทศทั่วโลก ในช่วงหลังๆ มานี้ได้มีวิวัฒนาการในการสักลวดลายมากมาย มีการพัฒนาทั้งในเรื่องของสีและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสัก ทำให้คุณภาพของการสักมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามรอยสักจะเป็นมงคลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสัญลักษณ์ของรูปนั้นๆ และอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายที่คุณสักแน่นอนว่าตำแหน่งที่คนนิยมสักกันก็คือ แขน แผ่นหลัง บริเวณหัวไหล่ และแม้แต่ส่วนที่ลับมากๆ ของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครมองเห็นนอกจากคนรักที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณมากที่สุด รอยสักต่างๆ สื่อออกมาได้ทั้งความใคร่ ความเชื่อด้านจิตวิญญาณ ความรัก เครื่องรางของขลัง หรืออาจจะเป็นเพียงแค่การสื่อข้อความอย่างหนึ่งเท่านั้น

สัญลักษณ์ยอดนิยมที่ใช้ในการสัก
มังกรเป็นสัญลักษณ์ยอดนิยมของบรรดาผู้ที่คลั่งไคล้รอยสักทั้งหลาย แต่ถึงกระนั้นการใช้สัญลักษณ์มังกรจีนก็ย่อมให้ผลที่ดีกว่ามังกรแบบตะวันตก เพราะความหมายเชิงสัญลักษณ์ของมังกรทั้ง 2 แบบนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน มังกรจีนมีอานุภาพในการนำฝน การสนับสนุน โชคลาภ และความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่มังกรตะวันตกมักจะถูกบรรยายว่าเป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่นำโรคระบาดและความตายมาให้
ตำแหน่งของร่างกายที่เหมาะสมในการสักลายมังกรก็คือแขนข้างซ้าย เพราะเป็นจุดที่มังกรสามารถแสดงคุณสมบัติแห่งโชคลาภออกมาได้ดีที่สุด แถมยิ่งดีเข้าไปอีกหากเพิ่มรูปไข่มุกเข้าไป ซึ่งหมายความว่ามังกรมาพร้อมกับโชคลาภ มังกรคู่หมายถึงโชคลาภทวีคูณ ในขณะที่มังกรเคียงคู่หงส์เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความรักและการแต่งงาน
เงื่อนมงคลคือลายยอดนิยมที่เห็นได้ชัดในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ก็มีหรูยี่ คางคกสามขา และรูปอื่นๆ ซึ่งได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน สัตว์สวรรค์ต่างๆ อย่างเช่น พี่เยา หมาฟู และเต่าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการปกป้องคุ้มครอง สัญลักษณ์ 12 นักษัตร ช่วยกระตุ้นโชคของนักษัตรพันธมิตรและนักษัตรเกื้อหนุน ส่วนดอกไม้ ต้นไม้ ผลไม้ และเทพเจ้าองค์ต่างๆ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ได้รับความชื่นชอบด้วยเช่นกัน
หากคุณกำลังคิดจะสัก
* ควรสักลายต่างๆ ที่แขนของคุณ ถ้าสักลงบนแขนข้างขวา ก็จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการลงมือปฏิบัติ แต่ถ้าสักที่ข้างซ้ายก็จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องคุ้มครอง สัญลักษณ์เพื่อการปกป้องคุ้มครองจะดีที่สุดหากซ่อนให้เห็นเพียงเล็กน้อย ดังนั้นบริเวณใต้วงแขนจึงเหมาะสมกว่า ในขณะที่สัญลักษณ์สำหรับการลงมือปฏิบัติจะให้ผลที่ดีกว่าถ้าเผยให้เห็นอย่างชัดเจน จึงขึ้นอยู่กับคุณว่าต้องการให้มีรอยสักอยู่ที่แขนด้านบนหรือด้านล่าง แต่จะให้ประสิทธิผลที่ดีกว่าหากอยู่ที่แขนด้านบน
* เลือกสถานที่สักที่มีชื่อเสียงและไว้ใจได้ และอย่าสักในช่วงวันหยุด
* ถ้าเป็นรอยสักแรก ควรเลือกรูปเล็กๆ ที่มีสีไม่เกิน 3 สี เพราะลบออกได้ง่ายในกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจ
* การสักครั้งแรกควรสักบนบริเวณที่ไม่เป็นอันตราย เลือกจุดที่ปกปิดได้ เผื่อว่าคุณเกิดกังวลใจหรือไม่อยากให้ใครเห็น
* เลือกลายสักอย่างรอบคอบ อย่ายึดติดกับกระแสแฟชั่น ให้เลือกสัญลักษณ์มงคลที่ไม่เป็นอันตราย
* คิดให้ดีก่อนที่จะสักรูปสัตว์ต่างๆ เพราะคุณอาจเรียกพลังที่ดุร้ายให้เข้ามาในรัศมีของคุณเอง
* อย่าลองสักเอง เพราะคุณอาจทำให้ผิวติดเชื้อได้โดยไม่รู้ตัว และอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงได้
* ในกรณีที่คุณติดเชื้อจากการสัก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
* รอยสักที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังไม่ควรสื่อถึงภาระหน้าที่ใดๆ ที่จริงแล้วไม่แนะนำให้คุณสักรูปใดๆ ที่หลัง นอกจากจะเป็นรูปต้นไม้ที่ให้การสนับสนุน การสักบทมนตราทางศาสนาที่ด้านหลังจะดีกว่าสักที่ด้านหน้า แต่ก็จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่สักมนตราไว้บนเรือนร่างของคุณ เพราะคุณอาจสร้างกรรมไม่ดีโดยไม่รู้ตัว ให้สวมใส่เครื่องประดับมนตราแทนจะดีกว่า เพราะคุณสามารถถอดออกได้ตอนกลางคืนในเวลาที่คุณนอนหลับหรือกำลังมีเพศสัมพันธ์ สิ่งนี้เป็นการแสดงว่าคุณไม่ได้ดูหมิ่นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
* รอยสักที่จุดจักระของคุณ ไม่ว่าจุดใดก็ตาม ถือเป็นอันตราย เพราะบริเวณเหล่านี้คือจุดศูนย์กลางของพลังงานภายในร่างกายคุณ ยกเว้นแต่คุณจะได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้จริงๆ เสียก่อน ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอย่าให้ใครมาทดลองเล่นกับจุดจักระทั้งเจ็ดของร่างกาย เพราะสิ่งนี้อาจส่งผลร้ายแอบแฝง โดยที่อาจจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยจนกว่าเวลาจะผ่านไปแล้วหลายปี โดยเฉพาะบริเวณที่บอบบางบนหลังตรงตำแหน่งของ "กระดูกก้นกบ" อวัยวะนี้อยู่ที่ส่วนปลายสุดของแนวกระดูกสันหลัง ซึ่งไม่ควรถูกกระตุ้นด้วยรอยสักหรือสัญลักษณ์เครื่องหมายใดๆ ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลร้ายแรงได้

ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://variety.thaiza.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81/97703/<<<

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การลบรอยสัก

  • การผ่าตัดออก (SURGICAL EXCISION) เหมาะในรายเป็นรอยสักที่มีขนาดเล็ก หรือเป็นจุดๆ จะได้มีแผลที่มีขนาดเล็ก แต่ในรายที่มีรอยสักขนาดใหญ่ อาจจะใช้ตัวขยายเนื้อ (TISSUE EXPANSION) ช่วยเหลือได้
  • การกรอผิวด้วยเครื่องกรอผิว (DERMABRASION) ในรายที่เป็นรอยสักมืออาชีพ การใช้การกรอผิวอย่างเดียว หรือร่วมกับการใช้เกลือแกงบริสุทธิ์จะช่วยให้ได้ผลดี ซึ่งในรายที่สักตื้นๆ การกรอผิวมากกว่าสองครั้งสามารถให้ได้ผลดีแผลเป็นน้อย ซึ่งในการทำครั้งที่สอง ควรจะรอประมาณ 3 ถึง 6 เดือน
  • การลอกด้วยสารเคมี (CHEMICAL PELING) มักใช้กรดบางชนิด หรือสาร PHENOL ทำให้เกิดเป็นรอยแผลไฟไหม้ขึ้นบริเวณรอยสัก แต่วิธีนี้มักจะมีผลแทรกซ้อนสูง จึงไม่ค่อยใช้กัน
  • การสักเพิ่มขึ้น (OVERTATTOOING OR RETATTOOING)
  • การลบด้วยไฟฟ้า (ELECTRIC CAUTERY)
  • การลบด้วยเครื่องเลเซอร์ (LASER BEAM) ที่นิยมใช้กันได้แก่ Q-SWITCHEDND-YAG และ Q-SWITCHED RUBY LASER ซึ่งมักจะได้ผลดีในรายที่เป็นสีน้ำเงิน และดำ ซึ่งวิธีนี้ได้ผลดี และมีผลข้างเคียงเช่นกัน ได้แก่ ผิวหนังเป็นรอยริ้ว หรือเป็นรอยด่างขาว


การลบด้วย เลเซอร์



ขอบคุณข้อมููลจาก>>>http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81<<<

วิธีดูแลรอยสัก

วิธีดูแลรอยสัก ที่ดีและแน่นอน ของ.. Q De Quince Tattoo

ต้องดูแลรอยสักใหม่ได้อย่างไร????

เวลาโดยประมาณสำหรับการรักษารอยสักใหม่ของคุณ: 
ทุกคนเยียวยาในอัตราที่แตกต่างกัน คุณสามารถคาดหวังรอยสักใหม่ของคุณเพื่อใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์
ใช้เวลาประมาณสองเดือนเพื่อให้ผิวหนังหายสนิท

ล้างมือของคุณ! ก่อนและหลังการสัมผัสของคุณสัก
เอาผ้าพันแผลออกในสภาพแวดล้อมที่สะอาดภายใน 1-3 ชั่วโมง แล้วล้างรอยสักทันทีด้วยสบู่ชนิดที่มีความอ่อนโยนและป้องกันแบคทีเรีย

ห้ามผ้าพันแผลซ้ำ! รอยสักใหม่ของคุณก็เหมือนแผลสดและต้องให้อากาศถ่ายเท ไม่อับชื้น

ล้างรอยสักเบา ๆและนุ่มนวล 2-3 ครั้งต่อวัน ห้ามขัดหรือถูแรงๆ! ซับด้วยผ้าขนหนูแห้งสะอาดหรือซับด้วยกระดาษทิชชู่
หลังจากทำความสะอาดใช้ aftercare ที่คุณเลือก (โลชั่นสูตรเพื่อการปลอบประโลมและให้ความชุ่มชื่นผิวแห้ง / หยาบกร้าน) 
ทาบางๆไปบนรอยสักอย่าให้เกิดเงา ไม่ควรใช้มากเกินไป 
ควรใช้ aftercare ตลอดเพื่อให้รอยสักของคุณแห้งระวังอย่าให้รอยสักใหม่ของคุณอับชื้นเพราะมันอาจยืดเวลาในการรักษา
แนะนำให้ใช้ aftercare ที่ใช้สำหรับการสักโดยเฉพาะ ใหม่ของคุณ อย่างไรก็ตามคุณควรเลือก aftercare ชนิดครีม 
ไม่แนะนำ ชนิดที่เป็นน้ำมันหรือมีการแต่งกลิ่น
ห้ามทาพวก Vaseline, Neosporin , Noxema, Bactine บนรอยสักใหม่เด็ดขาด
ถ้าตกสะเก็ดห้าม "ดึงออก" เพราะจะทำให้รอยสักของคุณไม่สมบูรณ์!

ความเสี่ยงของการติดเชื้อ เกิดได้โดย

-คุณปล่อยให้รอยสักไม่แห้งจนเกิดความชื้นมากเกินไป 
-เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดที่ไม่เหมาะสมสำหรับการดูแลหรือทำความสะอาดหรือชนิดที่มีสารเคมีรุนแรง
-ทำความสะอาดหรือลงครีมมากเกินไป 
-ควรเลี่ยงสระว่ายน้ำคลอรีน, แสงแดดจร้ากระทบบริเวณรอยสัก ฯลฯ

**จำไว้นะครับอะไรที่มันมากเกินไปไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้มันดีขึ้นหรือหายเร็ว ผลลัพท์น่ะกลับตรงกันข้ามแน่นอนครับ

งานสักของคุณจะสวยสมบูรณ์หรือไม่....
20%เวลาสัก
80%วิธีการดูแลรอยสัก ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณ!!

ขอบคุณข้อมูลจาก>>>https://www.facebook.com/QDeQuinceTattoo/posts/296819957112277<<<

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประเภทเข็มสัก

1.Round Liner ก็คือเข็มกลุ่มที่รวบปลายเข็ม เอาไว้สำหรับเดินเส้น หรือถ้าเป็นเบอร์ใหญ่ๆหน่อย ก็สามารถนำไปถมดำได้ แต่ส่วนใหญ่เค้าจะใช้ทำงานตามมุมต่างๆที่เข็มขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง
2.Round Shader คือเข็มกลุ่มที่ไม่รวบปลาย ให้สังเกตุที่ตะกั่วเชื่อมแถวปลายเข็มนะครับ จะเชื่อมแบบไม่ถึงปลายตั้งแต่ 1 ซม.- 1.5 ซม.   การใช้งานก็คือ เอาไว้ถมดำ,ลงสี,ลงเงา  บางทีผมก็ใช้เข็มตัวนี้เดินเส้นเหมือนกัน บางโอกาศที่ต้องใช้ เช่นงานแจแปนนิสสไตล์
3.Magnum(M1) ก็คือเข็มแบนที่ตรงปลายสลับแบบฟันปลา คุณสมบัติก็คือ ใช้ทำงานได้ทุกประเภทครับ บางท่านก็ใช้เดินเส้นด้วย (ในงานใหญ่ๆเท่านั้น)...เข็มแม็กนั่มก็เหมือนกับเราใช่ภู่กันแบนขนาดใหญ่แหล่ะครับ เพื่อให้ได้ภาพที่เนียน และการทำงานที่ไว...ขนาดก็จะมีตั้งแต่ 3เข็มขึ้นไป จนถึง60 กว่าเล่ม แต่เข็มชนิดนี้จะเป็นเลขคี่เท่านั้นนะครับ
4.Magnum (M2) ก็คือเข็มที่เชื่อมแบบวางซ้อนกันสองชั้น เป็นจำนวนเลขคี่เหมือนกัน มากอยู่ล่าง น้อยอยู่บน เข็มชนิดนี้ใช้งานดีมากๆ ในการลงสี กับถมดำ จะลดความเจ็บลงได้เยอะ และอีกอย่าง ในการลงเข็มแต่ละครั้ง เราจะได้พื้นที่ๆติดมาก เพราะช่องว่างของเข็มมีน้อย...แต่ช่างไม่ค่อยนิยมใช้กัน เพราะการเชื่อมนั้นยุ่งยากมาก  แต่เดี๋ยวนี้ก็มีเข็มสำเร็จรูปขายกันแล้ว เพิ่มความสบดวก+สบายให้กับช่างมากครับ
5.Round Magnum คือเข็มMagnum (M1)แต่ตรงปลายจะมีแนวโค้งเล็กน้อย จะไม่ตัดตรงเหมือน M1  คุณสมบัติของเข็มตัวนี้คือ  เวลาที่เราเข้าตามซอก หรือมุม มันจะลดการบาดของเข็มที่เข้าเนื้อได้เยอะ เหมาะกับงานทำเงามากๆ ถ้าเอาไปลงสีก็ดีครับ  เข็มชนิดนี้ทางช่างสักเราได้ดัดแปลงมาจากเข็มสักมือของชาวญี่ปุ่น ใช้ใหม่ๆอาจจะไม่ถนัดนิดหน่อย เพราะเราจะไม่ค่อยคุ้นกับการคำนวนในการติดของมัน แต่ถ้าใช้ไปเรื่อยๆก็จะชอบมันเองแหล่ะครับ
6.Flat ก็คือเข็มแบน ที่ไม่ได้มีการสลับฟันปลาตรงปลายเข็ม ขนาดไม่จำกัดครับ มีทั้งเลขคี่และเลขคู่ เข็มตัวนี้เอาไว้ลงเงาครับ ตรงปลายจะเชื่อมแบบปล่อยๆ ตั้งแต่ 1 ซม.-1.5 ซม.  เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยใช้กันแล้วล่ะครับ เพราะว่ามันจะบาดเนื้อมาก ถ้าใช้อย่างไม่ถูกวิธี แต่ก็ยังมีช่างเซียนๆบางท่านที่ยังใช้อยู่นะ.. เพราะเข้าใจการทำงาน  แต่ผมว่าใช้แบบ M1 ดีกว่า หรือแบบ Round Magnum ก็ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://www.yingyoungterktattoo.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&No=1196248<<<

ประเภทลายสัก

  • แฟนตาซี สไตล์(Fantasy Tattoo) - ผสมหลายรูปแบบ เป็นภาพในจินตนาการ เทพนิยาย







  • ยุโรป สไตล์ (Portrait tattoo)- เป็นภาพเหมือนลงแสงเงา คล้ายกับภาพเหมือนบุคคล



  • เจแปน สไตล์ (japan tattoo)- มีลวดลายที่บ่งบอกความเป็นตะวันออก เช่น ปลาคาร์พ มังกร



  • เวิร์ด สไตล์ (word tattoo)- มีตัวอักษรที่มีความหมาย หรือไม่มีความหมายก็ได้ บางทีก็อ่านไม่รู้เรื่องเช่นงานแนวแอมบิแกรม




  • ไกเกอร์ สไตล์(giger tattoo) - ลวดลายนามธรรม รวมถึงเฉพาะกลุ่มเช่นฮิปฮอป




  • พังค์ สไตล์(old school tattoo) - ลายสักไม่เน้นสีสัน ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ และั อาจจะเปนพวกตุ้กตา




  • ฮาร์ดคอร์ สไตล์ (Hard-core style tattoo)- ใกล้เคียงกับ พังค์ สไตล์แต่จะมีความเหมือนจริงมากกว่า และจะสักในที่แปลกๆ 



  • อินดี้ สไตล์ - ไม่มีแนวทางชัดเจน ขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัว















ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://teachingtattoo.blogspot.com/2011/11/blog-post.html<<<

ประวัติ Tattoo

Captain Cook - Whitby
Born 27 October 1728 - Died 14 February 1779

จุดเปลี่ยนแรกที่นำการสักมาสู่ยุคสมัยใหม่คือเมื่อกัปตัน เจมส์ คุก (Cook) นักเดินเรือคนสำคัญของโลก ที่เดินทางไปยังหมู่เกาะทะเลใต้ และบุกเบิกทวีปออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้นำศิลปะการสักกลับไปยุโรปใน ค.ศ.1769 ด้วยการนำชาวพื้นเมืองเมาลีที่เชี่ยวชาญการสักกลับไปอังกฤษกับเขาด้วย 


การสักเกิดติดลมกลายเป็นแฟชั่นในหมู่คนชั้นสูง เพราะคนมีเงินเท่านั้นจึงจะมีรอยสักได้เนื่องจากมีราคาแพง เป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปีของศตวรรษที่ 19 (ค.ศ.1800"s) ที่การสักเป็นเรื่องของคนชั้นสูง และกัปตันคุกได้รับเครดิตว่า เป็นผู้นำการสักมาสู่คนเหล่านี้ 

อย่างไรก็ดี โดยแท้จริงแล้วคนอังกฤษและยุโรปก่อนหน้านั้นหลายร้อยปีไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์สมัยโรบินฮู้ด) พระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ตลอดจนอินเดียนแดงในอเมริกาเหนือล้วนมีการสักกันมาก่อนแล้ว 

พระเจ้าฮาโรลด์ที่สองแห่งอังกฤษรักสนมคนหนึ่งมากจนมีรอยสักไว้บนหัวใจข้างซ้าย และรอยสักนี้แหละที่ทำให้สนมของพระองค์ สามารถพิสูจน์พระศพได้เมื่อทรงพ่ายแพ้ แก่ William the Conqueror ใน ค.ศ.1066

วัฒนธรรมการสักบนผิวหนัง  การสักลวดลายบนผิวหนังหรือที่เรียกว่าสักลายหรื อสักยันต์เป็นวัฒธรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่มีมาช้านานแต่ทุกวันนี้ลายสักหรือสักยันต์ตามความเชื่ออย่างโบราณแทบจะไม่มีแล้ว   จะมีเพื่อความสวยงามเป็นการตกแต่งเสริมความงามให้กับร่างกายบ้างแต่ไม่ม ากนัก
เรื่องราวของลายสักของคนไทยเป็นสิ่งที่น่าศึกษาค้นคว้าเรื่องหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใคร สนใจใคร่ศึกษามากนัก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างหนึ่งและนับวันจะสูญหายไป
"สัก" คืออะไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยถาน พ.ศ.๒๕๒๕ เขียนว่า&n bsp; "สัก"  คือ   การเอาเหล็กแหลมแทงลงด้วยวิธีการห รือเพื่อประโยชน์ต่างๆ     กันใช้เหล็กแหลมจุ้มหมึกหรือน้ ำมันงาผสมว่าน   ๑๐๘   ชนิดเป็นต้นแทงที่ผิวหนังให้เ ป็นอักขระเครื่องหมายหรือลวดลายถ้าใช้หมึกเรียกว่าสักหมึก,     ถ้าใช้น้ำมันเรียกว่าสักน้ำมันทำเครื่องหมายสักเพื่อแสดงเป็นหลักฐานเช่น   ;"สักข้อมือแสดงว่าได้ขึ้นทะเบียนเป็นชายฉกรรจ์หรือมีสังกัดกรมกองแล้วสักหน้าแสดงว่ าเป็นผู้ต้องโทษปราชิกเป็นต้น" จากคำอธิบายดังกล่าวทำให้รู้ว่าการสักลายหรือลา ยสักของไทยคืออะไร  ประเพณีการสักนั้นมีไม่แพร่หลายนักบางหมู่บ้านจะพบว่า ผู้ชายไม่ว่าหนุ่มหรือแก่มักมีลายสักที่หน้าอกและแผ่นหลังตามสมัยนิยมในขณะที่ผู้ชำน าญในการสักของท้องถิ่นแสดงความสามารถที่สืบทอดมาอย่างเต็มที่ผู้ที่ทำหน้าที่สักมีทั ้งพระสงฆ์และฆราวาส (คนธรรมดา)
ในอดีตสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การสักไม่ได้รับความสนใจเหมือนอดีต  คือชาวเมืองและรวมถึงผู้คนทั่วไปมองว่าผู้ที่มีลายสักเป็นคนชั้นต่ำ  เป็นนักเลงความคิดเช่นนี้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกที่มองผู้ที่มีลาย สักว่าส่วนใหญ่มักเป็นกลาสีขี้เมาหรือคนจรจัด  คนเมืองจึงเกิดความรู้สึกว่าลายสักเป็นวัฒนธรรมของคนบ้านนอกคนไม่มีการศึกษา  ทัศนคติเช่นนี้มิได้มีแต่คนกรุงเทพฯ เท่านั้นแต่แพร่ไปสู่เมืองอื่นๆ ด้วย โดยคิดว่า การสักลายเป็นเรื่องของคนจน กรรมกร และคนบ้านนอก ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องลายสัก จึงกระทำได้ยากในปัจจุบัน เพราะคนที่มีลายสักมักจะปกปิดลายสักไว้อย่างมิดชิด ผู้ที่จะให้ข้อมูลและเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับการสักจะเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อในอำ นาจของศิลปะโบราณนี้เท่านั้น
การศึกษาค้นคว้าศิลปะชาวบ้านประเภทนี้ ควรจะได้รับการศึกษาบันทึกเกี่ยวกับการออกแบบ กรรมวิธีและพิธีกรรม ศึกษาเปรียบเทียบแต่ละกลุ่มชน ศึกษาค่านิยมและความเปลี่ยนแปลง ศึกษาการสักที่สืบทอดมาแต่โบราณ การสักมีรูปแบบที่แตกต่างกันอยู่ ๒ รูปแบบคือ ลายสักที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ และลายสักที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ แต่ละรูปแบบจะมีวิวัฒนาการตามแบบฉบับของมันและแสดงให้เห็นรูปแบบของธรรมเนียมในประวั ติศาสตร์ของประเทศไทยในแต่ละแง่แต่ละมุมของลายสักที่สืบทอดกันมาในสังคมไทย
นักประวัติศาสตร์ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตแบบไทย ๆ คงจะทราบความจริงว่าข้าราชการของไทยจะทำตำหนิที่ข้อมือคนในบังคับซึ่งเป็นหน้าที่ของ แผนกทะเบียนเป็นผู้บันทึกและรวบรวมสถิติชาย และอาจะเดาได้ว่าการสักเป็นจุดเริ่มต้นขอการแบ่งส่วนราชการของไทย หรือการสักเป็นไปตามการแบ่งส่วนราชการ การทำเครื่องหมายลงบนร่างกายนี้อาจมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ( พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑ )
การสักที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ วัตถุประสงค์ของการสัก ผู้ชายบางคนจะสักยันต์ด้วยเหตุผลทางเวทมนต์คาถาเพื่อความแข็ง แกร่งของจิตใจและต้องการอยู่ยงคงกระพัน ซึ่งเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นประเพณีนิยมใน ชนบางกลุ่ม การสักลักษณะนี้จะสักให้เฉพาะชายฉกรรจ์เท่านั้น การสักมีลักษณะที่สอดแทรกไว้ด้วยความเชื่อและพิธีกรรมหลายอย่าง เช่น ก่อนทำการสักจะต้องมีการทำพิธีไหว้ครู ในการสักนั้นก็จะประกอบด้วยการร่ายเวทมนต์โดยอาจารย์สักจะถูผิวหนังของผู้มาสักทั้งก ่อน ขณะสักลายหรือสักยันต์ และหลังจากสักเสร็จแล้ว อาจารย์สักแต่ละคนจะมีรูปแบบของลวดลายเป็นของตนเอง และผู้ที่ต้องการจะสักสามารถเลือกลายที่อาจารย์มีอยู่ได้ตามต้องการ ส่วนมากจะเป็นสัตว์ในเทพนิยาย และ เป็นอักขระขอมและเลขยันต์ อาจจะสักลายทั้งสามประเภทผสมกัน ดังนั้นลายสักของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
การสักในประเทศไทยอาจจะมีมาแต่โบราณ แต่จะมีมาตั้งแต่สมัยใด ไม่มีหลักฐานชัดเจน การสักยันต์เพื่อให้อยู่ยงคงกระพันนั้นเชื่อว่ามีมานานแล้วดังปรากฎในวรรณคดี เรื่องขุนช้างขุนแผน และวรรณกรรมอื่นๆ แต่การสักมักมองว่าเป็นเรื่องของนักเลง ถูกมองไปในทางลบ ทำให้ศิลปะบนผิวหนังประเภทนี้เกือบจะสูญไปจากสังคมไทย
เหตุผลที่การสักยังคงมีอยู่คือ หลาย ๆ คนยังเชื่อว่าการสักจะทำให้มีโชคและอยู่ยงคงกระพันพ้นอันตราย รูปแบบของการสักแต่ละชนิดจะมีความขลังที่แตกต่างกัน ลายสักหรือยันต์บางชนิดสามารถช่วยผู้ที่สักให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยุ่งยากได้ สัญลัษณ์บางอย่างของลายสักสามารถทำให้ผิว หนังเหนียวได้ ศัตรูยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เชื่อว่าการสักจะช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้ด้วย
นอกจากนี้ การสักทางไสยศาสตร์ยังเชื่อมโยงกับการระวังอันตรายและความปลอดภัย ทำให้แคล้วคลาดต่ออันตรายต่างๆ ศิลปะพื้นบ้านประเภทนี้ อาจจะกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น เกิดความมั่นใจ มันอาจเป็นเครื่องแสดงความจริงต่างๆ วัฒนธรรมสมัยใหม่นั้นเมื่อมองแล้วอาจจะไม่ทำให้ปลอดภัย ส่วนวัฒนธรรมการสักยันต์จึงช่วยให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจเขามีความมั่นใจมั่นคงมากยิ่งๆ ขึ้น
ลายสักยอดนิยม   ลวดลายสักแต่ละสำนักแต่ละครูอาจารย์มักจะมีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ ่   เช่น   ลายเสือเผ่นลายหนุมาน ลายยันต์ชนิดต่างๆ ฯลฯ จะแตกต่างกันที่รายละเอียดในส่วนปลีกย่อย เท่านั้น เช่น ถ้าเป็นลายหนุมาน แต่ละอาจารย์ก็จะคงรูปร่างลักษณะและโครงร่างของหนุมานไว้แต่จะมีความแตกต่างกันที่รา ยละเอียดของนิ้วมือ นิ้วเท้า และเครื่องประดับของหนุมานเป็นต้น
ลวดลายที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในบรรดาผู้ที่นิยมการสักคือ  ลวดลายสักที่ให้ผลทางไสยศาสตร์ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ชนิด  คือเพื่อผลทางเมตตามหานิยม และเพื่อผลทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีให้แคล้วคลาดจากของมีคม  อุบัติเหตุ  หรืออันตรายทั้งปวถ้าเป็นการสักเพื่อผลทางเมตตามหานิยมมักจะสักเป็นรูปจิ้งจก  หรือนกสาริกาเพื่อเป็นตัวแทนของความมีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป โดยเฉพาะให้ผลดีทางการเจรจา ค้าขายทำให้เจริญรุ่งเรืองทำมาค้าขึ้น
ส่วนลายสักเพื่อผลทางอยู่ยงคงกระพันชาตรี จะนิยมสักลวดลายซึ่งเป็นตัวแทนความดุร้ายความปราดเปรียว ความสง่างาม ความกล้าหาญ ได้แก่ลายเสือเผ่น หนุมานคลุกฝุ่น หงส์ และลายสิงห์ เป็นต้น หรือเป็นลายที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันภยันตราย เช่น เก้ายอด ยันต์เกราะเพชร หรือลายยันต์ชนิดต่างๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นแก่นแท้ของการสักเพื่อผลทางไสยศาสตร์ และถือกันว่าเป็นหัวใจของการสักคือ หัวใจของคาถาที่กำกับลวดลายสักแต่ละลายอยู่ เพราะสิ่งนี้คือเคล็ดลับวิชาคาถาอาคมที่เป็นวิชาชั้นสูงของแต่ละอาจารย์สักที่จะไม่เ ปิดเผยให้แก่ผู้ใดเป็นอันขาดนอกจากลูกศิษย์ที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้รับถายทอ ดวิชาสักของอาจารย์สืบต่อไป
นอกจากนั้นยังมีผู้นิยมสักเพื่อความสวยงาม ซึ่งการสักเพื่อความสวยงามจะไม่เกี่ยวข้องกับกับการเพื่อผลทางไสยศาสตร์แต่อย่างใด ดังนั้นจึงเป็นการสักเฉพาะรูปสวยเฉยๆ ไม่มีการลงหัวใจของอักขระเลขยันต์ต่างๆ หรือลงอักขระกำกับรูปภาพ ลวดลายสักจึงมักขึ้นอยู่กับความต้องการหรือรสนิยมของผู้สัก เช่น รูปผู้หญิงเปลือย ผีเสื้อ ดอกไม้ หัวใจ ฯลฯ โดยรูปภาพเหล่านี้จะบอกนิสัยใจคอของผู้สักหรือบอกอดีตที่เป็นความประทับใจหรือความทร งจำของผู้สักที่ต้องการประทับตราไว้กับตัวเขาตลอดไป เช่น ชื่อคน ชื่อประเทศ วันเดือนที่สำคัญ เป็นต้น
ลายสักดังกล่าวจะต้องถูกสักอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ควร ไม่เช่นนั้นความขลังจะไม่เกิด โดยมากผู้มาสักประสงค์จะให้ลายสักอยู่ภายในร่มผ้ามากที่สุด ตำแหน่งที่นิยมสักเรียงตามลำดับดังนี้คือ บริเวณหลัง หน้าอก คอ ศีรษะ ไหล่ แขน ชายโครง หน้า มือ และหัวเข่า
แดวงคนสักลาย เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการสักคือเพื่อผลทางไสยศาสตร์ จึงต้องสักโดยครูอาจารย์ที่มีวิชาอาคมศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะเท่านั้น ฆราวาสหรือบุคคลธรรมดาที่ไม่มีวิชาความรู้ทางด้านนี้จะไม่ได้รับการยอมรับ ครู และอาจารย์และช่างสักส่วนใหญ่จึงเป็นพระภิกษุ หรือเกจิอาจารย์ชื่อดังที่ได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลทั่วไป และความศักดิ์สิทธิ์ของการสักก็มักจะได้รับการทดสอบจนเห็นผลเป็นที่ร่ำลือมาแล้ว
จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์ชื่อดังท่านหนึ่งให้ความรู้ว่า ปัจจุบันอาจารย์สักที่ลงคาถาอาคมและมีอานุภาพดังคำร่ำลือมีไม่เกิน ๑๐ สำนักในเมืองไทย ผลการศึกษาของนักวิชาการระบุออกมาว่า อาจารย์สักส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป มีประสบการณ์มากกว่า ๒๐ ปี อาจารย์สักถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เช่นเดียวกับผู้ที่มารับการสักโดยมากจะเป็นผู้ชาย จะเป็นผู้หญิงก็เป็นส่วนน้อย ซึ่งมักจะมาสักเพียงเพื่อต้องการจะดึงดูดเพศตรงข้าม หรือต้องการจะมีเสน่ห์ในการพูดจาเพื่อค้าขายได้คล่อง ฉะนั้นลายสัก นะหน้าทอง และสาริกาลิ้นทอง จึงเป็นลายสักที่ นิยมในเพศหญิง ตรงกันข้ามกับฝ่ายขายที่มีความกระหายอยากจะได้ของดีติดตัวคือเหตุผลที่มาเป็นอันดับห นึ่ง ความศรัทธาเชื่อมั่นในครูอาจารย์และเพื่อนฝูงญาติพี่น้องชักชวนให้มาสัก เป็นเหตุผลที่รองลงมาแต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ชายหรือหญิงคนนั้นจะต้องมีใจรักและเชื่อมั่นในเรื่องนี้อย่างเหนียวแน่น เท่าที่ผ่านมาผู้ที่ได้รับการสักครั้งแรกไปแล้วก็มักจะกลับมาสักอีกครั้งเป็นอย่างน้ อย บางคนอาจถึง ๑๐ ครั้งขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม แม้ทุกวันนี้จะมีผู้เชื่อมั่นและศรัทธาในการสักอยู่ แต่ก็นับว่าลดลงไปมากเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา และนับวันข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับลายสักจะสืบค้นได้ยากยิ่งขึ้น เป็นเพราะขาดผู้รู้ผู้ชำนาญ อาจารย์บางท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ค่อยถ่ายทอดวิชาให้แก่ศิษย์ ทำให้นับวันผู้ที่รู้วิชานี้ยิ่งลดน้อยลงทุกที อีกทั้งสังคมปัจจุบันไม่ค่อยยอมรับคนที่มีลายสักโดยดุษณีเช่นแต่ก่อนอีกแล้วในทางกลั บกันทัศนคติของคนไทยในวันนี้กลับมองว่าคนที่มีรอยสักเป็นผู้ที่มีการศึกษาน้อย เป็นผู้มีอาชีพใช้แรงงาน เป็นนักเลงหัวไม้ หรือเข้าใจหนักลงไปอีกว่า คนที่สักลายคือ พวกขี้คุกขี้ตรางที่มีลายสักซึ่งสักกันเองภายในเรือนจำ ประกอบกับการสักเป็นอุปสรรคในการรับราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน
ความเสื่อมอีกประการหนึ่ง ผู้ได้รับการสักปฏิบัติตนไม่เหมาะสมใช้ผลของการสักทางไสยศาสตร์หรือการอยู่ยงคงกระพั นชาตรีไปในทางที่ผิด เช่น โอ้อวด ท้าทาย ประลองต่อสู้กับผู้อื่น ทำตนเป็นมิจฉาชีพ ก่ออาชญากรรม ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ค่านิยมของคนที่มีต่อลายสักเป็นไปในทางลบยิ่งขึ้น
ผู้ที่มีลายสักจำนวนไม่น้อยที่อยากจะลบรอยสักนั้นทิ้งเสีย อาจด้วยความรู้สึกว่าเมื่ออายุมากขึ้นลายสักบนผิวหนังกายทำให้แลดูสกปรกเลอะเทอะ หรือทำให้คนตั้งข้อรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ เป็นต้น ในบางรายก็ค้นพบด้วยตนเองว่าการสักไม่ได้ให้ผลทางไสยศาสตร์แก่ตนแต่อย่างใดเพราะความ เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันทำให้ไม่สามารถยึดถือปฏิบัติสัจจะที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัดได ้ ทว่า การลบรอยสักนั้นเป็นไปได้ยากมากเพราะหมึกที่ใช้สักถูกฝังลึกเข้าไปถึงชั้นของหนังแท้ ถ้าลบออกจะทำให้เกิดแผลเน่าน่าเกลียด แต่ก็อาจทำได้โดยกรรมวิธีศัลยกรรมตกแต่ง คือ ลอกผิวหนังตรงที่มีรอยสักทิ้งไป แล้วเอาผิวหนังส่วนอื่นของร่างกายปะไว้แทน แต่ก็จะเป็นรอยแผลเป็นอยู่ดี ฉนั้นจึงกล่าวได้ว่าการที่จะลบรอย สักโดยไม่ให้เหลือร่องรอยปรากฎอยู่เลยนั้น…ทำไม่ได้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนจำนวนหนึ่งหันไปใช้วิธีสักด้วยน้ำมันแทนการสักด้วยน้ำหมึก เพื่อจะได้มองไม่เห็นลวดลาย และตัดปัญหาเรื่องการลบรอยสักออกภายหลังเมื่อไม่ต้องการ การสักในลักษณะนี้จึงทำให้ลวดลายที่สวยงามวิจิตรบรรจงและสื่อความหมายในรูปแบบต่างๆ ที่นิยมกันมาตั้งแต่ดั้งเดิมสูญหายไปทีละน้อย
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้ความคิดความเชื่อหลายๆ อย่างเสื่อมถอยไป แต่ลายสักก็ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจของบุคคลหลายกลุ่มแต่จะยึดยาวนานไปสักเ ท่าใดนั้น ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
เครื่องมือที่ใช้ในการสัก จากการศึกษาและวิเคราะห์เอกสารต่างๆ สามารถสรุปเครื่องมือที่ใช้ในการสักได้ว่า ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในการสักก็คือเข็มสักหรือวัตถุปลายแหลมที่ใช้ทำหน้าที่เป็น เข็มสักแทงลงไปบนผิวหนังการเลือกใช้เข็มสักและวัตถุปลายแหลมของอาจารย์สักแต่ละท่าน จะแตกต่างกันไปตามแต่ความถนัด ความสะดวก หรือตามที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์สักในรุ่นก่อน ๆ ซึ่งพอจะรวบรวมชนิดของเข็มสักได้ดังต่อไปนี้
             ๑. หนามหวาย ที่มีปลายแหลมและแข็ง

             ๒. เข็มหมุดหรือเข็มเย็บผ้า ๓-๔ เล่ม มัดเข้าไว้ด้วยกันแล้วผูกติดกับด้ามไม้ที่ใช้เป็นด้ามจับ
              ๓. ก้านร่ม ฝนปลายแหลมเป็นหน้าตัด
             ๔. เหล็กปลายแหลม ที่ทำด้วยทองเหลือง
              ๕. เข็มที่ทำจากเหล็กตะปูที่ตอกโลงผี เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ทางอาคม

ในสมัยปัจจุบันเข็มที่ใช้ในการสักนั้นมักจะทำจากวัสดุที่เป็นโลหะ เพื่อให้จับได้ถนัดมือและให้มีน้ำหนักถ่วงที่ปลายด้าม เพื่อจะบังคับเข็มสักไปในทิศทางที่ต้องการ ส่วนเข็มสักไฟฟ้านั้นอาจารย์สักไม่นิยมใช้ เพราะว่าเหมาะสำหรับการสักเฉพาะรูปลวดลายที่ให้เกิดความสวยงามเท่านั้น ไม่เหมาะกับการสักตัวอักขระขอมที่กำกับลาย เพราะบังคับทิศทางไม่ได้การหนึ่ง และยังขัดต่อความเชื่อทางไสยศาสตร์อีกประการหนึ่งด้วย
เครื่องมือที่สำคัญรองลงมาจากเข็มสัก  คือหมึกที่ใช้ในการสัก ลวดลายที่สักจะสวยงามรูปคมชัด เจนและติดทนนาน ขึ้นอยู่กับการผสมของหมึกที่ใช้ ซึ่งตามประวัติความเป็นมากล่าวไว้ว่า ได้มีการวิวัฒนาการและการดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น ทำให้ส่วนผสมของหมึกจึงมีความแตกต่างหลากหลายกันออกไป อาทิ ทางภาคอีสานแรกเริ่มเดิมใช้ยางไม้สีขาวชนิดหนึ่งมาเขียนบนผิวหนังแล้วใช้ของแหลมจิ้ม ตามลวดลายที่ต้องการ ยางไม้นี้จะซึมเข้าไปใต้ผิวหนัง พอยางไม้แห้งก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำ แต่สีของยางไม้นี้ไม่ทนทาน นานเข้าก็จะลบเลือน จึงดัดแปลงมาใช้ขี้เขม่าหรือดินหม้อผสมกับดีควายให้เข้ากัน เมื่อแผลสักหายแล้วก็จะกลายเป็นสีดำติดทนนาน
"อูเมโมโต"  ได้อธิบายถึงหมึกสักไว้ในบทความเรื่อง "ศิลปะการสักของไทย" ว่าในอดีตนั้นอาจารย์สักจะใช้ขี้เถ้าหรือขี้เขม่ากระดูกสัตว์ กากมะพร้าวแทนหมึก เพราะมีสีค่อน ข้างดำ ทำให้เห็นลายได้ชัดเจน แต่ต่อมาวิธีการทำหมึกดังกล่าวนั้นค่อนข้างยุ่งยากเกินไป เนื่องจากจะต้องมีส่วนผสมต่างๆ ตามสัดส่วนที่กำหนดเพื่อให้ได้สีตามต้องการ จึงได้เปลี่ยนมาใช้หมึกจีน หรือหมึกดำที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด ทำให้การผสมหมึกสักนั้นง่านขึ้นกว่าเดิม
สมชาย นิลอาธิ ได้รวบรวมสูตรผสมหมึกสักที่นิยมใช้กันทางภาคอีสนไว้ ๔ สูตรด้วยกันคือ
สูตรที่ ๑ เป็นสูตรหมึกชนิดแรกที่ใช้กันในภาคอีสาน ใช้ยางไม้ชนิดหนึ่งที่ชาวอีสานเรียกว่า "ต้นหมึก" เมือหักกิ่งหรือก้านออกไปแล้วจะมียางสีขาวหรือยางไม้ออกมา เมื่อยางนี้แห้งสียางจะ ออกดำๆ
สูตรที่ ๒ ใช้ดินหม้อ หรือเขม่าไฟที่จับเกาะตามก้นหม้อที่ใช้ฟืน หรือถ่านขูดเขม่าให้หลุดออกจากหม้อ แล้วเอาไปบดให้ละเอียด ผสมกับดีควาย
สูตรที่ ๓ ใช่ผงถ่านสีดำที่อยู่ในถ่านไฟฉายนำไปบดให้ละเอียดแล้วผสมกับยางไม้ "ต้นมูกเกี้ย" เมื่อสักลงบนผิวหนังจะได้ลายสักสีดำตามสีของผงถ่าน
สูตรที่ ๔ ใช้หมึกจีนชนิดแท่งนำไปฝนให้เป็นผงละเอียด แล้วผสมกับน้ำมันเสือและน้ำมันงาการใช้น้ำมันเสือซึ่งเป็นสัตว์ดุร้ายที่มีพลังอำนาจ อยู่ในตัวมาเป็นส่วนผสมทำให้เชื่อกันว่าเป็นการสักเพื่อให้ผลทางอยู่ยงคงกระพันชาตรี
นอกจากสูตรผสมหมึกดังกล่าวแล้ว อาจารย์จารุบุตร เรืองสุวรรณ ยังได้อธิบายสูตรผสมหมึกไว้อีกสูตรหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปคือการใช้น้ำหมึกผสมใบมัน แกวเคี่ยวและเขม่าควันไฟเพื่อให้ออกสีดำแล้วผสมกับดีหมู (หรือดีควาย) จะทำให้ลวดลายสักดำสนิทและขึ้นมัน หรืออาจใช้ดีของสัตว์อื่นๆ เช่น วัว หมี งู ปลาช่อน เคี่ยวให้แห้งแทนได้
นอกจากเข็มสักและหมึกแล้ว บางสำนักจะมีอุปกรณ์ที่ช่วยในการลอกลายเพิ่มขึ้นมา ได้แก่ กระดาษลอกลาย กระดาษก๊อปปี้ และแม่พิมพ์ไม้ (คัดมาจาก รายงานผลการวิจัยลายสักที่พบในภาคกลางของประเทศไทย โดย สุลักษณ์ ศรีบุรี และทวีวงศ์ ศรีบุรี)
ลายสักนานาชาติ ลายสักและความนิยมในการสักมีขึ้นในหมู่มนุษยชาติมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๔,๐๐๐ ปี ทั้งนี้จากการค้นพบพระศพของกษัตริย์ไอยคุปต์ที่มีอายุถึง ๔,๐๐๐ ปี สภาพศพอาบน้ำยาหรือ "มัมมี่" นั้น มีรอยสักสลับสีอย่างงดงาม
การสักเป็นภาพสลับสีอย่างสวยงามนั้น ชาวญีปุ่นได้รับการยกย่องว่ามีฝีมือมากที่สุด แต่ชาวโลกเพิ่งจะรู้ว่าช่างสักชาวญี่ปุ่นมีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเมื่อกลางศตวรร ษที่ ๑๘ นี่เอง ทั้งที่ญี่ปุนมีฝีมือ เป็นเลิศในการสักภาพสลับสีอย่างสวยงามมาตั้งแต่ ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์กาลแล้วเพราะก่อนหน้านั้นชนชาติญีปุ่นปิดประตูประเทศสำหรับชาวต่างชาติ ต่อเมื่อญีปุ่นเปิดประเทศต้อนรับชาวต่างชาติความเป็นผู้มีฝีมือในการสักของชาวญี่ปุ่ นจึงระบือลือเลื่องไปทั่วโลก ถึงกับมีการเปิดร้านหรูหราสำหรับรับสักลายเป็นล่ำเป็นสัน
ส่วนชาวเมารีของนิวซีแลนด์ และพวกไอนุของญี่ปุ่นภาคเหนือมีความเชื่อว่าการสักจะช่วยคุ้มครองความเป็นหนุ่มสาวแล ะความกระฉับกระเฉงของพวกเขาให้ยืนยงคงทน พวกแอซเตคและพวกมายาของเม็กซิโกในสมัยโบราณใช้การสักเป็นเครื่องหมายบอกตำแหน่งความเ ป็นใหญ่เป็นโตเปรียบได้กับเครื่องหมายแห่งเกียรติยศนั่นเอง
พวกบริตันส์ กอลส์ เยอรมัน และกรีก ชาวยุโรปสมัยโบราณ ต่างนิยมประเพณีการสักทั้งสิ้น เฮโรโดตุส นักปราชญ์ชาวกรีกได้บันทึกไว้ว่า พวกจารบุรุษในสมัยนั้นเมื่อเข้าไปสืบความลับของศัตรูแล้วจะโกนศรีษะสักความลับไว้ที่ กลางศรีษะแล้วทิ้งให้ผมยาวจึงกลับไปหาพวกตน การสักจึงเป็นวิธีช่วยให้จารบุรุษนำความลับผ่านแนวข้าศึกได้
สืบสายพระเวทย์ หลวงพ่อเปิ่นได้ศึกษาเล่าเรียน สรรพวิชา คาถา ไสยเวทย์ วิปัสสนากรรมฐาน จากพระอาจารย์ที่โด่งดังในสมัยนั้น อาทิ ตำรับตำรา คัมภีร์ใบลานโบราณ ของวัดบางพระ จากหลวงพ่อหิ่ม อินฺทโชโต ท่านสืบสานวิชาจากพระอธิการเจ้าคุณเฒ่า เจ้าตำรับการลงเลขสักยันต์เสื้อยันต์ ตำรายาสมุนไพรรักษาโรค
สายหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก จ.สุพรรณบุรี ท่านเป็นศิษย์เอกของ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลอง มะดัน พระอาจารย์ของพระสังฆราชปุ่น วัดโพธิ์ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชาธรรมกายที่ทั่วประเทศรู้จัก
สายหลวงพ่อโอภาสี เป็นพระอาจารย์ที่โด่งดังอีกรูปหนึ่ง ท่านชอบบูชาไฟ เตโชกสิน ของที่คนถวายมาให้ท่าน ท่านจะโยนเข้ากองไฟหมด จนชาวบ้านนึกว่าท่านเป็นพระที่วิกลจริต
หลวงพ่อเปิ่น   สืบสานตำรับวิชา  ก่อนหลวงพ่อหิ่ม  อินฺทโชโต    จะมรณะภาพท่านได้ถ่ายทอดวิชาอาคม คาถาไสยเวทย์ และตำรายาสมุนไพร ให้แก่หลวงพ่อเปิ่นจนหมดสิ้น ด้วยท่านเลงเห็นว่า ต่อไปยุคหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จะเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองสุดขีด
สรรพวิชาอาคม ทางไสยเวทย์ แห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี หลวงพ่อเปิ่นท่านได้ถ่ายทอดจนหมด ไม่ว่าจะเป็นการลงนะหน้าทอง ลงสาริกาลิ้นทอง และการลงอักขระสักยันต์อันมีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบัน เมื่อคราวรื้อกุฏิหลวงพ่อหิ่ม และกุฏิริมน้ำของหลวงพ่อเปิ่น ได้พบตำราพระเวทย์คาถา คัมภีร์ใบลานเก็บอยู่ในหีบเหล็กเก่าแก่ และบนเพดานกุฏิ พบพระพุทธรูปเก่าปางต่าง ๆ และพระผงอีกจำนวนหนึ่ง
ตำราใบลาน มีทั้งตำราวิชาอาคม การฝังรูปฝังรอยเสน่ห์เมตตามหานิยม อักขระเลขยันต์ต่าง ๆ ตำรายารักษาโรค ในปัจจุบันได้มอบให้ พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (เจ้าอาวาส) พระอาจารย์ต้อย พระอาจารย์ติ่ง พระอาจารย์อภิญญา เก็บรักษาไว้ ให้ศึกษา เมื่อลูกศิษย์ท่านใดมีเรื่องไม่เข้าใจ ท่านก็จะชี้แนะให้จนเข้าใจ
ตำนานการสักยันต์ของวัดบางพระ หลวงพ่อเปิ่นเป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งของเมื่องไทยที่มีผู้คนรู้จักและพากันหลั่งไหลม าสักกันมากที่สุดแห่งหนึ่งกระทั่งสักไม่ทัน ต้องประสิทธิ์วิชาให้พระสงฆ์ที่เป็นศิษย์หลายรูปทำการสักแทนและเมื่อทำการสักแล้วหลว งพ่อท่านต้องเสกเป่าให้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ผู้ที่มาสักเกิดความมั่นใจยิ่งๆ ขึ้น
สรรพวิชาอาคม ทางไสยเวทย์ อันเข้มขลังลือชื่อ องค์หลวงพ่อท่านได้รับการถ่ายทอดจนหมดจากทุกอาจารย์ที่ไปเล่าเรียนมา ไม่ว่าจะเป็นการลงนะหน้าทอง ลงสาลิกาลิ้นทอง การลงอักขระสักยันต์ อันมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคนี้
ตำรามหายันต์วัดบางพระ รูปอักขระเลขยันต์ ที่หลวงพ่อเปิ่นสักให้นั้นมีความหมายทุกตัวอักขระ รูปลักษณ์ต่างๆ หลวงพ่อจะประสิทธิ์ประสาทให้แก่ทุกคนที่มาขอรูปยันต์ที่สักให้อาจจะไม่เหมือนกันหมดแ ล้วแต่หลวงพ่อจะดูว่าผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน อักขระรูปลักษณ์ ที่สักกันส่วนมากจะใช้ คือ ยันต์หอมเชียง (พระพุทธ ๑๐๘) ยันต์เก้ายอด ยันต์งบน้ำอ้อย ยันต์แปดทิศ ยันต์สายสังวาลย์ ยันต์หนุมานออกศึกยันต์หนุมานอมเมือง ยันต์พ่อแก่ฤาษี ยันต์แม่ทัพ ยันต์ดำดื้อ ยันแดงดื้อ ยันต์เสือเผ่น ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า ( หมวกเหล็ก ) ยันต์นกสาริกา ยันต์จิ้งจกสองหาง ยันต์องค์พระพุทธ ยันต์ราชสีห์ ยันต์เกราะเพชร ยันต์หมูทองแดง ยันต์ปลาไหล ยันต์ดอกบัว ยันต์พระราหู ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ยันต์ลิงลม ยันต์พระเจ้าสิบหกพระองค์ ยันต์พญาหงษ์ ยันต์ไตรสรณาคมน์ ยันต์หัวใจต่าง ๆ ฯลฯ
ขั้นตอนการสักยันต์ การสักยันต์ เริ่มด้วย หาดอกไท้ ธูปเทียน และค่ายกครู ๒๔ บาทมาขึ้นครูกับพระอาจารย์ที่สัก ต่อจากนั้นก็เลือกยันต์รูปลักษณ์ต่างๆ ที่จะสัก อาทิ เช่น เก้ายอด, แปดทิศ, งบน้ำอ้อย, รูปเสือเผ่น, หนุมาน, ฯลฯ
เมื่อเลือกแบบได้แล้ว ก็จุดตะเกียงน้ำมันก๊าด เอาพิมพ์รมควันให้เขม่าจับแบบพิมพ์ จากนั้นก็กดพิมพ์บนผิวหนังบริเวณที่ต้องการสัก บางยันต์ก็ใช้วิธีเขียนโดยใช้หมึกจีน ตีเส้น วาดไปบนผิวหนังก่อน ยันต์บางรูปสักโดยไม่ต้องใช้แม่พิมพ์ เครื่องมือที่ใช้ในการสักยันต์ ใช้เหล็กแหลม ใช้ก้านร่มผ่าปลายฝนปลายจนแหลม
การสักยันต์ ลงอักขระเลขยันต์ มีอยู่ ๒ อย่างคือ การสักน้ำมัน กับการสักน้ำหมึก
การสักน้ำมัน ส่วนมากจะใช้น้ำมันจันทร์หอมแช่ว่านหรือน้ำมันงาขาว บางสำนักจะผสมน้ำมันช้างตกมัน น้ำมันเสือโคร่ง การสักน้ำมันคนสมัยนี้นิยมกันมาก เพราะเป็นการสักยันต์โดยร่างกายไม่มีลวดลายให้เห็น เมื่อรอยสักตกสะเก็ดเนื้อก็สมานเป็นเนื้อเดียวกัน
การสักหมึก นิยมใช้หมึกจีนมาฝนกับน้ำพระพุทธมนต์ สมัยก่อนนิยมหาดีเสือ, ดีหมี, ดีงูเห่าเป็นส่วนผสม

ขอบคุณข้อมูลจาก>>>http://student.lcct.ac.th/~50137067/job/j2.html<<<

คำเนะนำก่อนเริ่มการสัก

อยากจะนำเรื่องราวเกี่ยวกับงานสักซึ่งได้มาจากประสบการณ์การทำงานของผมเอง มาแนะนำให้คนที่คิด จะสักหรือคนที่มีงานสักอยู่แล้ว แต่คิดอยากจะสักเพิ่ม ได้คิดและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองและช่างสักดัวยคับ ปัจจุบันร้านสักและช่างสักก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่ามีช่างใหม่ๆๆเยอะมากจึงอยากให้คิดก่อนที่จะสักสักนิดคับ มีอยู่4ข้อคับอยากจะแนะนำก่อนสัก 1.การตัดสินใจก่อนสัก ตัดสินใจให้ได้ก่อนคับ ว่าเราชอบงานสักจิงๆหรือว่าแค่อยากมีรอยสักเหมือนคนอื่น ควรสักเวลาที่เรามีสติตัดสินใจเองได้ อย่าสักเพราะความเมา อันนี้จิงๆๆช่างก็ไม่ควรสักให้นะคับ ถ้าตัดสินใจได้แล้วว่าเราชอบงานสักจิงๆๆ ไม่ได้เพียงแค่อยากมีรอยสักเหมือนคนอื่นๆๆ เพราะรอยสักจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิตคับ ฉะนั้นต้องคิดให้ดีก่อนคับ ถ้าคิดแค่ว่าอยากมีรอยสักเหมือนกับคนอื่น อีกหน่อยคุณก็เบื่อคับ แล้วก็จะตามมาด้วยคำถามที่ว่าสักแล้วลบได้มั้ย จิงๆก็ลบได้คับแต่ก็ขึ้นอยู่ที่ขนาดของงานและเวลาและกำลังทรัพย์ด้วยคับ เพราะลบจะแพงกว่าแล้วผิวก็จะไม่เหมือนเดิมด้วย สรุปควรคิดให้ดีก่อนสักคับ 2.พื้นที่และขนาด เลือกพื้นที่ๆเราจะสักให้ได้ก่อน ว่าเราจะทำตรงไหนสามารถสักได้ขนาดเท่าไหร่ เพราะพื้นที่กับงานจะต้องเหมาะสมกัน งานถึงจะออกมาดีกว่า อย่าคิดแค่ว่าสักๆๆเท่านี้ไปก่อนไม่ได้คับ บางคนสักแขนช่วงไหล่งานเล็กๆๆ แต่ช่วงไหล่ใหญ่มาก ก็ไม่สวยคับ ดูไม่เหมาะสมแทนที่สักออกมาแล้วจะมาเสริมให้ดีขึ้น กับทำให้ด้อยลงเพราะขนาดงานกับพื้นที่ๆสักไม่เหมาะสมกัน ฉะนั้นก่อนสักต้องเลือกขนาดด้วยคับ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ๆเราจะสัก พื้นที่ใหญ่ก็ต้องสักให้เหมาะสมด้วยคับ จะได้ไม่มีปัญหาเวลามาต่องานเพิ่ม วางงานครั้งเดียวจะดีกว่าคับคราวนี้มาถึงเรื่องการสักในร่มผ้าหรือนอกร่มผ้า ถ้ายังไม่พร้อมที่จะสักนอกร่มผ้า ก็ไม่ควรสักนะคับอาจมีผลกระทบกับงานที่ทำอยู่ หรืองานที่จะทำในอนาคต คือให้มองถึงเรื่องอนาคตด้วย แนะนำในร่มผ้าจะดีกว่า แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ทำได้คับ แต่อยากให้คิดเยอะๆคับถ้าคิดจะทำนอกร่มผ้า ถามตัวเองก่อนว่า เรารับได้แค่ไหนกับ กับมุมมองของคนอื่น ถ้าเค้ามองเราในแง่ลบเรารับได้มั้ย อันนั้นเป็นสิทธิ์ของคนอื่นเค้าคับ แต่จิงๆทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราคับ ดีชั่วไม่ใช่ที่งานสัก ถ้าเราคิดว่าเราคิดดีแล้วยอมรับได้ก็ทำได้คับ 3.แบบหรืองาน เลือกงานหรือแบบที่เราอยากจะสักคับ ว่าเราชอบงานแบบไหน เพราะจิงๆๆ อยากให้เลือกได้เองก่อนคิดได้เองก่อนว่าเราชอบงานแบบไหน ประเภทไหนเพราะงานสักมีเยอะมาก ต้องหาข้อมูลมาก่อนคับ ดูงานสักเยอะๆๆอาจมีงานบางงาน ที่เรายังไม่เคยเห็น ตัดสินใจให้ได้ก่อนเดินไปร้านคับ เลือกงานที่เหมาะสมกับเรา งานสักจะช่วยเสริมบุคคลิกของคนๆๆนั้น เหมือนเราแต่งกายคับ แต่งกายอย่างไรก็ได้ แต่ถามว่าเหมาะสมมั้ย อันนี้ต้องเลือกเองคับ เลือกได้แล้วเราค่อยไปขอคำแนะนำจากช่างอีกทีคับ ที่แนะนำให้เลือกงานก่อน เพราะว่าถ้าคุณไปเลือกงานที่ร้านสักหรือขอคำแนะนำจากช่างที่ร้านก่อน คุณอาจจะมีเวลาในการตัดสินใจที่น้อยมาก อาจเป็นเพราะเวลามีน้อยหรือไม่ก็เกิดอาการณ์เกรงใจช่าง เลยรีบตัดสินใจ อันนี้สำคัญมากคับอย่ารีบตัดสินใจ ถ้าคิดว่าเรายังไม่ชอบแบบงานนี้ อย่าเพิ่งตัดสินใจสักเลยคับ งานที่เราจะสักต้องเป็นงานที่เราดูแล้วอยากสักมากๆๆจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเสียใจเจ็บตัวและเสียเงินมาแก้งานใหม่ 4.ร้านและช่าง เลือกร้านสักที่สะอาดปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ เข็ม สี และอุปกรณ์บางอย่าง ต้องใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ควรเลือกสักกับช่างสักที่มีประสบการณ์และถนัดในงานนั้นๆๆ จะดีกว่าเพราะอย่างที่บอกคับ "ผิวหนังมีค่ากว่ารอยสัก อย่าสักเพราะเห็นงานสักมีค่ากว่าผิวหนัง" อย่าสักเพียงเพราะว่า ราคาถูก หรือว่าเค้าสักให้ฟรีๆ ผิวหนังเรามีค่ามากกว่าคับ อย่าเอาไปแลกกับของฟรี ราคาถูก อันนี้ไม่คุ้มค่าคับ ยอมจ่ายแพงกว่าอีกนิดหน่อยแต่ได้งานที่มีค่าพอเทียบได้กับผิวหนังของเราจะดีที่สุดคับ อาจจะขอดูงานของช่างคนที่เราจะสักก่อน ไม่ใช่ดูงานของร้านนะคับ ต้องดูงานของช่างคนที่เราจะสักด้วย เพราะคุณจะต้องสักกับเค้านะคับ ถ้าทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็มาสักกันเลยคับ เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสักด้วยนะคับ ร่างกายต้องพร้อมคับ ถ้าร่างกายไม่พร้อมอดนอนมาก พักผ่อนน้อยยังไม่ได้ทานข้าวมา หรือหิวด้วย ไม่ดีคับจะทำให้ทนความเจ็บได้ไม่นานคับ เพราะงานบางต้องใช้เวลาในการสักหลายชั่วโมงเราอาจทนไม่ไหว เมื่อเราอดทนไม่ไหวก็จะทำให้ช่างบางคน ต้องรีบทำด้วยคับ เลยอาจจะทำให้ผลงานสักออกมาไม่ดีเท่าที่ควร สู้คนที่อดทนได้ดีไม่ได้คับ แต่ถ้าร่างกายพร้อมแล้ว ก็แนะนำให้ช่วยทำตัวให้นิ่งหน่อยนะคับ ช่างจะได้ทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะจิงๆช่างสักก้ต้องการทำผลงานให้ออกมาให้ดีที่สุดคับ แต่ถ้าเราขยับตัวเคลื่อนไหวตัวเองบ่อยๆ จะทำให้ช่างทำงานยากขึ้น บางคนอาจจะอารมณ์เสียเลยก็ได้นะคับ แล้วงานของเราก็จะออกมาไม่ดี ดังนั้นไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้คับ ถ้าเราสักมานานแล้วอยากจะขอเวลาพัก สูบบุหรี่ หรือเข้าห้องน้ำบอกช่างได้เลยคับ ทำได้คับแต่ไม่ควรจะพักบ่อยๆและนานมากจนเกินไปคับ เพราะจะทำให้คุณเจ็บและระบมมากขึ้นกว่าเก่าคับ เพราะยิ่งใช้เวลานานมาก ร่างกายก็จะเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆๆคับ อีกอย่างก็จะทำให้ช่างเสียสมาธิด้วยคับ คำถามที่พบมากคือถามว่าเจ็บมั้ย อันนี้ต้องขอบอกก่อนเลยนะคับว่า เจ็บคับ แต่เป็นความเจ็บที่ทนได้คับแต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดที่เราสักด้วยนะคับ ถ้าสักเล็กๆๆงานไม่ใหญ่มาก ก็ใช้เวลาในการสักน้อยด้วยก็จะไม่เจ็บมากคับ แต่ถ้างานใหญ่ๆมาก ก็ใช้เวลามากเช่นกัน ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้นด้วยคับ แต่ก็ทนได้คับ คิดจะสักแล้ว ต้องไม่กลัวที่จะเจ็บคับ ถ้ายังกลัวอยู่ ให้เราใช้เหตุผลมองดูนะคับว่า ถ้ามันเจ็บมากๆจิงๆๆจนทนไม่ไหว ทำไมคนอื่นถึงสักกันได้คับ อย่าลืมนะคับว่าเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้นเราก็ต้องทำได้เหมือนกันคับ ผมมองว่ามันเป็นความตั้งใจมากกว่าคับ คนที่รักชอบรอยสักจิงๆจะทนได้ดีกว่า คนที่คิดแค่อยากมีรอยสัก เหมือนคนอื่นคับ บางคนมาสักครั้งแรกพอสักเสร็จบอกว่า จะไม่สักอีกแล้ว เพราะว่าเจ็บ แต่คุณเชื่อมั้ยคับว่า เป็นเรื่องจิงที่พิสูทธฺ์ได้คับ ว่าคนที่มีรอยสักแล้วส่วนมากจะอยากสักอีกคับ เค้าเรียกว่า ติดเข็มคับ ไม่ใช่เพราะชอบ ในความเจ็บปวดนะคับ แต่เป็นเพราะว่า พอได้เห็นแบบงานที่ถูกใจ ก็อยากจะสักอีกคับ หรือไม่ก็เห็นคนอื่นสัก ก็อยากสักอีก นั่นอาจเป็นเพราะว่า เราได้รับรู้แล้วว่า มันเจ็บแค่ไหน แต่มันเป็นความเจ็บที่เราตั้งใจนะคับ เราจึงทนได้ สุดท้ายนี้ขอให้ท่านจงเลือกที่จะเจ็บอย่างตั้งใจและเต็มใจด้วยนะคับ หากมีอะไรที่ขาดตกบกพร่อง ต้องอภัยและขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้ทุกท่านด้วยคับ ด้วยความยินดีคับ ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขในการเจ็บสำหรับงานสักนะคับ

ขอบคุณข้อมูลจาก >>>http://www.oknation.net/blog/ozzfest-tattoo-club-thailand/2010/08/19/entry-1<<<